การเพิ่มคุณค่าโทแพซใสไม่มีสีโดยอิเล็กตรอน |
||
แปลและเรียบเรียงโดย
กาญจนา บุญชำ, นูฮายาตี สะแลแม, อภิเชษฐ์ มณีวงษ์ และ อารีรัตน์ คอนดวงแก้ว โครงการวิจัยฟิสิกส์และวิทยาการก้าวหน้า สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ |
||
โทแพซ พบได้เกือบทุกทวีปทั่วโลก สีของโทแพซมีหลายสี ได้แก่ ใสไม่มีสี, สีแดง, สีชมพู, สีส้ม, สีน้ำตาล, สีเหลือง, สีน้ำเงินและสีเขียว สีแดงเชอร์รี่ที่เรียกว่า อิมพีเรียล (cherry-red imperial) และโทแพซสีชมพู (pink topaz) ที่พบในประเทศบราซิล เป็นโทแพซที่มีราคาสูงที่สุด นอกจากนี้ยังพบโทแพซสีน้ำเงิน (blue topaz) ด้วย ซึ่งการเกิดสีน้ำเงินนี้ เกิดจากการที่โทแพซได้รับรังสีจากต้นกำเนิดรังสีตามธรรมชาติ ที่มีอยู่ในพื้นดินเป็นเวลาหลายล้านปี โทแพซสีน้ำเงินที่เกิดตามธรรมชาติ เป็นสีน้ำเงินจางๆ ซึ่งไม่ได้รับความนิยมมากนัก โทแพซที่พบโดยทั่วไปส่วนใหญ่เป็นโทแพซใสไม่มีสี (colorless topaz) ซึ่งการที่พบโทแพซใสไม่มีสี (colorless topaz) เป็นส่วนใหญ่นี้ทำให้โทแพซใสไม่มีสี (colorless topaz) เป็นโทแพซที่มีราคาไม่สูงช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เทคนิคในการใช้รังสี สำหรับทำให้โทแพซใสไม่มีสี (colorless topaz) มีสีขึ้นมา เพื่อให้เป็นที่ต้องการมากขึ้น และเพื่อให้เป็นสีน้ำเงินถาวรนั้น ได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ และปัจจุบันเทคนิคการเพิ่มคุณค่าอัญมณีโดยการฉายอิเล็กตรอน (Electron Beam) นั้น ได้นำมาใช้สำหรับการผลิตโทแพซสีน้ำเงิน (blue topaz) ในปริมาณมาก เทคนิคนี้ทำให้โทแพซสีน้ำเงิน (blue topaz) กลายเป็นโทแพซที่พบเห็นทั่วไปในอุตสาหกรรมอัญมณี
สีของโทแพซที่ได้จากการฉายรังสี โทแพซสีต่างๆ ที่ได้จากการฉายรังสี ได้แก่ |
||
โทแพซสีน้ำเงินลอนดอน (London Blue Topaz):น้ำเงินอมเทาเข้มปานกลางถึงเข้มมาก เป็นผลมาจากการฉายโทแพซใสไม่มีสี (colorless topaz) ด้วยนิวตรอนจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู และการใช้ความร้อน |
||
โทแพซสีน้ำเงินสวิส (Swiss Blue Topaz):เข้มถึงสว่างปานกลางถึงสีน้ำเงินเข้มปานกลาง เกิดจากการผสมผสานหลายเทคนิค คือ ฉายนิวตรอนแล้วฉายรังสีแกมมา หรืออิเล็กตรอน และการใช้ความร้อน |
||
ปัจจัยการเกิดสีในโทแพซ (Coloring factors in Topaz) สีส่วนใหญ่ในโทแพซนั้นเป็นผลมาจากศูนย์กลางสี (color center) ในโทแพซ ยกเว้นสีชมพูถึงสีม่วง (pink-to-violet) และองค์ประกอบสีชมพูของพลอยสีส้มบางชนิด ซึ่งเป็นผลเนื่องจากการมีโครเมียมเจืออยู่ (K. Nassau, 1984) โทแพซใสไม่มีสี (colorless topaz) เกือบทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เมื่อได้รับปริมาณรังสีต่ำๆ ( 5 ถึง 10 เมกะแรด), ส่วนโทแพซสีอื่นๆ นั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของสีน้ำตาล ที่เพิ่มเข้ามา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2001 เมื่อกรมไปรษณีย์ของสหรัฐอเมริกา เริ่มทำการฉายรังสีไปรษณีย์ภัณฑ์ต่างๆ ด้วยเครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอน เพื่อฆ่าสปอร์ของเชื้อแอนแทร็กซ์ (Anthrax spores) ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปได้ โดยไปรษณีย์ภัณฑ์ โดยฝีมือของผู้ก่อการร้าย ผู้ค้าอัญมณีและลูกค้าที่มีความเป็นห่วงในเรื่องนี้ ตระหนักว่า การฉายอิเล็กตรอน เพื่อฆ่าเชื้อแอนแทร็กซ์ ส่งผลให้อัญมณีมีการเปลี่ยนสี จึงหันไปใช้บริการจากตัวแทนขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์รายอื่นๆ ที่ไม่ใช้กระบวนการฉายรังสีไปรษณีย์ภัณฑ์ สีน้ำตาลที่เกิดจากการฉายด้วยปริมาณรังสีต่ำๆ จะเข้มขึ้นตามปริมาณรังสีที่มากขึ้น ที่ปริมาณรังสีปานกลาง (500-1,000 เมกะแรด) จะเกิดสีน้ำตาลอมเขียว, ที่ปริมาณรังสีสูงมากขึ้น (1,000-5,000 เมกะแรด) เกิดสีน้ำตาลอมน้ำเงิน และที่ปริมาณรังสีสูงมากๆ (5,000-20,000 เมกะแรด) เกิดเป็นสีน้ำเงิน สีน้ำตาลเกิดจากศูนย์กลางสี (color center) 2 ชนิดที่แตกต่างกัน อย่างแรก เป็นของชนิดซีดจางลงโดยธรรมชาติ (fading nature) และอีกอย่างหนึ่ง เป็นของชนิดที่เสถียรโดยธรรมชาติ (K. Sassau, 1984) ศูนย์กลางสีน้ำตาลที่ปรากฏให้เห็น ส่วนใหญ่เป็นของชนิดซีดจางลง, และเมื่อทิ้งไว้ในแสงสว่าง หรือให้ความร้อนที่ประมาณ 200 องศาเซลเซียส ผลที่ได้สีจะซีดจางลง รูปแบบของการฉายรังสี ดังที่ได้กล่าวมาแล้วโทแพซนิยมนำมาฉายรังสีด้วย เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู, ต้นกำเนิดโคบอลต์ 60 และเครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอน อิเล็กตรอนจากเครื่องเร่งอิเล็กตรอนพลังงานสูง นำมาใช้อย่างกว้างขวางในการเปลี่ยนสีของโทแพซให้เป็นสีน้ำเงินท้องฟ้า (Sky blue) และ สีน้ำเงินสวิส (Swiss blue) ข้อดีของการฉายรังสีด้วยอิเล็กตรอนเมื่อเทียบกับการฉายรังสีแกมมาคือ สามารถฉายที่ปริมาณรังสีสูงๆ ได้ ซึ่งทำให้เวลาที่ใช้ในการฉายสั้นลง การฉายด้วยนิวตรอน จะทำให้มีปริมาณรังสีตกค้างในโทแพซ และต้องทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง (ตั้งแต่ 2-3 เดือน ถึง 1 ปี) ก่อนที่จะนำไปผ่านกระบวนการอื่น ๆ เช่น การฉายอิเล็กตรอน,การใช้ความร้อน, การตัด หรือการเจียระไน เครื่องเร่งอนุภาคที่ใช้สำหรับฉายโทแพซ เครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอนส่วนใหญ่ที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของโทแพซ เป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ให้พลังงานสูง10-20 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ (MeV) และมีกำลังสูง 10-60 กิโลวัตต์ (kW) กำลังของเครื่องเร่งอนุภาคเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอัตราการได้รับรังสีของโทแพซจากอิเล็กตรอน เครื่องเร่งอนุภาคขนาด 10 kW สามารถฉายรังสีโทแพซได้ 15,000 กะรัต ถึง 45,000 กะรัตต่อวัน และ เครื่องเร่งอนุภาคขนาด 60 kW สามารถฉายรังสีโทแพซได้ 100,000 กะรัตต่อวัน ถึง 300,000 กะรัตต่อวัน พลังงานเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังโทแพซ เมื่อพลังงานเพิ่มขึ้นจะทำให้การส่งผ่านอิเล็กตรอนดีขึ้น ถ้าอิเล็กตรอนไม่สามารถทะลุผ่านโทแพซ อนุภาคก็จะหยุด หรือถูกกักไว้ในโทแพซ ก่อให้เกิดสภาพการนำไฟฟ้าในโทแพซ ประจุไฟฟ้าในโทแพซ ก็จะมากขึ้น ถ้าประจุนี้มีค่ามากพอจะทำให้เกิด การปลดปล่อยกระแสไฟฟ้า ลักษณะคล้ายฟ้าแลบ ทำให้เกิดรอยแตกเป็นเส้นเล็กบางมากมาย ออกมาให้เห็นผ่านโทแพซ ในกรณีที่มีการปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก จะทำให้มองเห็นเป็นจุดกลมสีขาวเล็กๆ การป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับโทแพซ จำเป็นต้องเลือกพลังงานให้เหมาะสมกับปริมาณของโทแพซที่ฉาย อิเล็กตรอนจะวิ่งทะลุผ่านโทแพซออกมา หลังจากเหนี่ยวนำให้เกิดสีในโทแพซ พลังงานที่เหมาะสม ในการฉายอิเล็กตรอนให้กับโทแพซ ที่มีขนาดเล็กและขนาดกลาง คือ 10 MeV และโทแพซที่มีขนาดใหญ่ จะใช้พลังงานมากกว่า 10 MeV จนถึง 20 MeV สำหรับระดับพลังงานที่สูงกว่า 10 MeV สามารถทำให้เกิดกัมมันตภาพรังสีขึ้นในโทแพซได้ โดยที่กัมมันตภาพรังสีที่เกิด จะขึ้นอยู่กับปริมาณ และธรรมชาติของสารเจือปนในโทแพซ (K. Nassau, 1984) ระยะเวลาที่ต้องปล่อยให้สารกัมมันตรังสีสลายตัวไป จะมีค่าตั้งแต่ 2-3วัน ถึง 2-3 สัปดาห์ จนกระทั่งกัมมันตภาพรังสีอยู่ในระดับที่สามารถยอมรับได้ |
||
กระบวนการระบายความร้อน (Process cooling) เนื่องจากโทแพซได้รับพลังงานสูง (กำลัง (กิโลวัตต์) ยิ่งมาก อุณหภูมิยิ่งสูง) ระหว่างกระบวนการฉายอิเล็กตรอน ดังนั้น การระบายความร้อนให้แก่โทแพซ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้น้ำเป็นตัวระบายความร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้น้ำไหลผ่าน หรือทำการฉีดพ่นน้ำไปที่โทแพซ ระหว่างทำการฉายรังสี สิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามีการระบายความร้อนไม่เพียงพอคือ เมื่อเปลี่ยนมุมในการมองโทแพซไปเล็กน้อย จะสังเกตเห็นรอยแตก ซึ่งล้อมรอบด้วยรอยแตกเป็นเส้นมากมาย หรือเป็นแผ่น ถ้าการระบายความร้อนล้มเหลว โทแพซจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โทแพซแตกร้าว และสูญเสียสีไปทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียทางการค้าอย่างมาก การระบายความร้อน โดยระบบการไหลผ่านของน้ำ ต้องได้รับการควบคุมดูแลเป็นพิเศษ และต้องมีระบบควบคุมอัตโนมัติ เมื่อระบบระบายความร้อนล้มเหลว เครื่องเร่งอนุภาคจะหยุดทำงานทันที การเย็นตัวหลังจากการฉายรังสี (Post irradiation annealing ) หลังจากฉายด้วยอิเล็กตรอน จะมีการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางสี (color center) สีน้ำตาลและสีฟ้าขึ้นในโทแพซ สีน้ำตาลจะจางลง ที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ในขณะที่สีฟ้าสีจะคงที่ จนถึงอุณหภูมิ 600 องศาเซลเซียส การให้ความร้อนแก่โทแพซหลายๆ ชั่วโมงที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส จะทำให้สีฟ้าในโทแพซเข้มขึ้น กัมมันตภาพรังสีในโทแพซ
บทสรุป โทแพซใสไม่มีสี (colorless topaz)ที่ผ่านกระบวนการฉายรังสีข้างต้น เพื่อให้มีความสวยงามมากขึ้น และยังคงความเป็นโทแพซ ประกอบกับคุณลักษณะเฉพาะที่มีความโปร่งแสงและรอยแตกเฉพาะตัว จึงไม่เรียกโทแพซที่ผ่านกระบวนการเหล่านี้ว่าเป็นโทแพซสังเคราะห์ เอกสารอ้างอิง |
||
ถอดความจาก Electron beam enhancement of colorless Topaz ผู้เขียน Noomie Lewison เวบไซต์ http://www.cigem.ca/ |