ฟิวชันคืออะไร?
|
|||||
นิวเคลียร์ฟิวชัน เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดพลังงานในดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ ที่แกนกลางของดวงอาทิตย์ มีอุณหภูมิ 10-15 ล้านเคลวิน ทำให้ไฮโดรเจนกลายเป็นฮีเลียมจากปฏิกิริยาฟิวชัน และทำให้ดวงอาทิตย์มีพลังงานสูงมากพอ ที่จะทำให้เกิดการเผาไหม้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้
มีโครงการวิจัยที่กำลังดำเนินการในเรื่องฟิวชันนี้อยู่หลายแห่งทั่วโลก โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำพลังงานฟิวชันมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า ถ้าประสบความสำเร็จ จะกลายเป็นแหล่งพลังงานใน 30-40 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัยมากกว่าพลังงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน |
|||||
|
|||||
การที่จะทำให้ไอออนที่มีประจุบวกหลอมรวมกันได้ ต้องใช้อุณหภูมิหรือพลังงานสูงมากพอที่จะเอาชนะแรงผลักไฟฟ้าได้ ในการควบคุมพลังงานของฟิวชัน นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรต้องหาวิธีที่จะควบคุมพลาสมาที่มีอุณหภูมิสูงมากนี้ให้ได้ก่อน ในปัจจุบัน มีการนำพลาสมาที่มีอุณหภูมิต่ำกว่านี้มาใช้งานอย่างแพร่หลายแล้วในด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการผลิตสารกึ่งตัวนำ แต่การควบคุมพลาสมาอุณหภูมิสูงในระดับของฟิวชัน ยังเป็นงานท้าทายความสามารถทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ในการที่จะทำความร้อนให้พลาสมามีอุณหภูมิสูงเกิน 100 ล้านเคลวิน รวมทั้งการหาวิธีบีบลำพลาสมา ให้มีความหนาแน่นมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาฟิวชันได้อย่างต่อเนื่อง
พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ให้ออกมากมากกว่าพลังงานจากปฏิกิริยาเคมีมาก เนื่องจากพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียส สูงกว่าพลังงานยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนมาก |
สภาวะที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิวชัน
|
|||||
การทำให้พลาสมาสามารถเกิดปฏิกิริยาฟิวชันอย่างต่อเนื่องได้ ต้องประกอบด้วย 3 ตัวแปรในเวลาเดียวกัน ได้แก่ อุณหภูมิของพลาสมา ความหนาแน่นของพลาสมา และเวลาที่สามารถกักเก็บพลาสมาเอาไว้ด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาฟิวชันของ ดิวทีเรียม-ตริเตียม (D-T fusion) มีพลังงานที่ให้ออกมามากกว่าพลังงานที่ป้อนเข้าไป เรียกว่า Lawson Criterion ซึ่งเรียกชื่อตาม John Lawson นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่คำนวณสมการนี้ออกมา ในปี 1955
การทำให้เกิดผลตาม Lawson criterion ต้องทำให้พลาสมาอยู่ในสภาวะที่สูงกว่า Breakeven ซึ่งเป็นจุดที่ให้พลังงานจากการเกิดฟิวชันออกมา มากกว่าพลังงานที่ใช้ในการทำให้ความร้อนสูงแก่พลาสมา |
|||||
|
|||||
การกักเก็บพลังงาน เวลาในการกักเก็บพลังงาน (Energy Confinement Time) เป็นตัววัดช่วงเวลาในการรักษาระดับพลังงานของพลาสมาก่อนที่จะสูญเสียพลังงานไป ซึ่งค่านี้แสดงถึงสัดส่วนของพลังงานความร้อนของพลาสมาต่อพลังงานที่ป้อนเข้าไป เพื่อรักษาระดับความร้อนให้คงที่ ในการทดลองที่ JET นักวิทยาศาสตร์ใช้สนามแม่เหล็ก ในการควบคุมและรักษาพลาสมาร้อน ให้อยู่ห่างจากผนังอุโมงค์ที่เย็นกว่า เพื่อรักษาพลังงานให้คงที่อยู่ได้นานมากขึ้น การสูญเสียพลังงานของพลาสมาที่บีบด้วยสนามแม่เหล็ก (magnetically-confined plasma) ส่วนใหญ่เป็นการแผ่รังสี เวลาที่สามารถรักษาพลังงานของลำไอออนได้ (confinement time) จะมีค่าสูงขึ้นแปรตามขนาดของลำพลาสมา โดยลำพลาสมาที่มีปริมตรมากจะรักษาระดับอุณหภูมิได้ดีกว่าลำพลาสมาที่มีขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ที่มี energy confinement time สูงมาก |
การบีบลำพลาสมาด้วยสนามแม่เหล็กของ Tokamak
|
|||||
พลาสมาประกอบด้วยอนุภาคมีประจุ ได้แก่ ไอออนที่มีประจุบวกกับอิเล็กตรอนที่มีประจุลบ การใช้สนามแม่เหล็กพลังสูง สามารถบีบลำพลาสมาให้อยู่ห่างจากผนังของอุโมงค์ภายในเครื่องปฏิกรณ์ และทำให้สามารถให้ความร้อนแก่พลาสมา จนมีอุณหภูมิได้สูงเกินกว่า 100 ล้านเคลวิน ทำให้พลาสมาไม่มีการสูญเสียจากการนำความร้อนให้แก่ผนัง รวมทั้งทำให้ลดการปนเปื้อนของอนุภาคที่หลุดจากอะตอมของโครงสร้างผนังเข้าไปในลำพลาสมา ซึ่งจะทำให้พลาสมาเย็นลงจากการแผ่รังสี | |||||
|
|||||
The Tokamak
|
|||||
|
|||||
ภายใน Tokamak ซึ่งให้ความร้อนแก่พลาสมาภายในอุโมงค์รูปวงแหวน ใช้สนามแม่เหล็กในการรักษาลำพลาสมาให้อยู่ห่างจากผนัง ส่วนประกอบหลักของระบบกักเก็บแม่เหล็ก (magnetic confinement system) ของ Tokamak ได้แก่ Poloidal field – ทำหน้าที่ผลิตสนามแม่เหล็กในทิศทางตั้งฉากกับลำพลาสมา ซึ่งจะผลักพลาสมาให้อยู่ห่างจากผนังอุโมงค์ จึงเป็นอุปกรณ์ในการรักษาเสถียรภาพและรูปร่างของลำพลาสมา poloidal field จะถูกเหนี่ยวนำทั้งจากกระแสที่ป้อนให้พลาสมา (กลไกในการให้ความร้อนแก่พลาสมา) ภายในอุโมงค์ และจากขดลวดที่ติดตั้งอยู่รอบๆ ภายนอกอุโมงค์ กระแสในลำพลาสมาจะถูกเหนี่ยวด้วยหม้อแปลงขนาดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงของกระแสในขดลวดที่พันอยู่รอบแกนเหล็กขนาดใหญ่ของ JET จะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสที่สูงมาก (ถึงระดับ 5 ล้านแอมแปร์ใน JET) ในพลาสมา ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับเป็นหม้อแปลงชุดที่สอง |
|||||
|
การให้ความร้อนพลาสมา
|
||
การทำให้เกิดฟิวชันได้ เงื่อนไขหลักอย่างหนึ่ง คือการทำให้อนุภาคของพลาสมามีพลังงาน หรือความร้อนสูงมาก วิธีการต่อไปนี้เป็นการให้ความร้อนกับพลาสมาที่ใช้ทั่วไป โดยทุกวิธีมีการใช้ที่ JET ด้วยเช่นกัน | ||
|
||
Ohmic Heating and Current Drive
พลาสมาใน JET ถูกเหนี่ยวนำด้วยกระแส 5 ล้านแอมแปร์ (5 MA) โดยปกติจะใช้หม้อแปลง (transformer) หรือขดลวด (solenoid) ซึ่งจะทำหน้าที่ผลักลำพลาสมาให้อยู่ห่างจากผนัง กระแสนี้จะทำให้พลาสมาเกิดความร้อน โดยไปเร่งอิเล็กตรอนและไอออน ในทิศทางเดียวกับวงแหวน ทำให้มีความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นเมกกะวัตต์ (MW)Neutral Beam Heating ลำอนุภาคพลังงานสูง ที่ยังเป็นอะตอมที่เป็นกลางของดิวทีเรียม (deuterium ) และตริเตียม (tritium) จะถูกปล่อยเข้าสู่ลำพลาสมา ซึ่งจะทำให้มีพลังงานสูงขึ้น และกลายเป็นไอออนจากการชนกัน กระบวนผลิตลำอนุภาคที่เป็นกลาง มี 2 ตอน ตอนแรกเป็นการผลิตไอออนพลังงานสูง โดยการเร่งด้วยไฟฟ้าศักย์สูง ประมาณ 140,000โวลต์ เนื่องจากอนุภาคมีประจุ ไม่สามารถผ่านสนามแม่เหล็กที่ใช้บีบลำอนุภาคใน tokamak เข้าไปได้ ตอนที่สองจึงเป็นการทำให้ลำอนุภาคที่ถูกเร่งแล้วเป็นกลาง (เปลี่ยนจากสภาวะไอออนกลับเป็นอะตอมที่เป็นกลาง) ก่อนจะส่งเข้าไปในลำพลาสมา สำหรับที่ JET มีระบบให้ความร้อนแบบนี้ ขนาด 21MW ช่วยเสริม Radio-Frequency Heating ในกรณีของ JET มีเสาส่ง (antenna) อยู่ในอุโมงค์สุญญากาศ 8 จุด ทำหน้าที่ปล่อยคลื่นความถี่ 25-55 MHz เข้าไปในแกนกลางของพลาสมา คลื่นที่ปล่อยออกมา จะถูกปรับให้มีความถี่สอดคล้องกับไอออนในพลาสมา และทำให้เกิดความร้อนขึ้น วิธีการนี้ทำให้เกิดความร้อนได้ 20MW คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถใช้ขับกระแสพลาสมา โดยผลักอิเล็กตรอนให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน โดย JET ใช้ คลื่นขนาด 10 MW เรียกว่า Lower Hybrid microwaves ซึ่งมีความถี่ 3.7GHz ในการเร่งอิเล็กตรอนพลาสมา ทำให้ได้กระแสพลาสมาขนาด 3MA Self Heating of Plasma พลังงานฟิวชันที่ทำให้เกิดความร้อนในไอออนฮีเลียม จะทำให้เชื้อเพลิง D และ T ได้รับความร้อน จากการชนกัน และทำให้ปฏิกิริยาสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อกลไกในการสร้างความร้อนขึ้นในตัวเอง สามารถรักษาระดับของอุณหภูมิที่ต้องการในการเกิดฟิวชันได้ จะทำให้การเกิดปฏิกิริยาอยู่ในภาวะที่คงที่ได้เอง (self-sustaining) โดยไม่จำเป็นต้องป้อนพลังงานจากภายนอก กระบวนการนี้จึงเป็นเหมือนการจุดชนวน (Ignition) ในตอนเริ่มต้น |
การวัดพลาสมา
|
|||
การวัดคุณสมบัติของพลาสมามีหลายวิธี การวัดคุณสมบัติของพลาสมา เป็นงานที่ท้าทายความสามารถอย่างหนึ่งในงานวิจัยด้านฟิวชัน การทราบคุณสมบัติของพลาสมา เช่น อุณหภูมิ ความหนาแน่น หรือการสูญเสียพลังงานจากการแผ่รังสี มีความสำคัญ ที่ช่วยในการเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพลาสมา เพื่อใช้ในการออกแบบอุปกรณ์ในอนาคต เนื่องจากพลาสมาอยู่ในอุโมงค์สุญญากาศ และมีคุณสมบัติที่สุดขั้ว มีความหนาแน่นต่ำมาก ขณะที่มีอุณหภูมิสูงมาก วิธีการวัดธรรมดาจึงใช้ไม่ได้ การตรวจสอบคุณสมบัติของพลาสมา จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้นวัตกรรม และมักต้องใช้กระบวนการวัดเพื่อให้ได้ข้อมูลของตัวแปรออกมาเฉพาะแต่ละค่า | |||
|
|||
จะมีการวัดความเข้มของรังสีนิวตรอน ที่ออกมาจากพลาสมา รวมทั้งวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกช่วงความยาวคลื่น ทั้งแสง UV รังสีเอ๊กซ์ ที่หลายๆ จุดในพลาสมา จากรายละเอียดที่ได้ จะนำมาแปรผลเพื่อหาตัวแปรและกระบวนการทั้งหมดที่ทำให้เกิดคลื่น |
ฟิวชัน แหล่งพลังงานในอนาคต
|
|||
จากที่มีการตรวจพบว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ขณะที่ความต้องการพลังงานยังคงเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น และต้องพึ่งพาพลังงานด้วยอัตราที่เพิ่มขึ้น การค้นหาแหล่งพลังงานใหม่ จึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยต้องคำนึงถึงการรักษาสภาวะแวดล้อม จากผลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล | |||
|
|||
หนทางข้างหน้า ITER เป็นโครงการความร่วมมือของ 7 ประเทศ คือ สหภาพยุโรป (EU) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย จีน และอินเดีย เป็นโครงการที่มีความก้าวหน้าและมีขนาดใหญ่กว่า JET โดยสามารถผลิตกำลังของฟิวชันได้ 500 เมกะวัตต์ หรือสูงเป็น 10 เท่า ของความร้อนที่ต้องใช้ในการป้อนให้แก่พลาสมา ในขณะที่ JET มีกำลังของฟิวชันเพียง ~70% ของความร้อนที่ต้องใช้ในการป้อนให้แก่พลาสมาเท่านั้น หลังจากการประชุมหารือกันของฝ่ายการเมืองกันอย่างหนัก เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2005 แล้ว จึงตกลงกันที่จะก่อสร้าง ITER ที่เมือง Cadarache ในประเทศฝรั่งเศส ITER จะใช้เวลา10 ปี ในการก่อสร้าง ดังนั้นการดำเนินงานจึงจะเริ่มได้ในปี 2015 มีการวางแผนในการนำพลังงานฟิวชันไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยจะมีสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สำหรับสาธิต เพื่อป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับระบบไฟฟ้าภายใน 30 ปี ในระหว่างที่ดำเนินการของITER จะมีการทดลองทางวัสดุศาสตร์ เพื่อทดสอบวัสดุที่จะนำไปใช้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งประสบการณ์ที่ได้จาก ITER นี้จะนำไปใช้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สาธิต ที่คาดว่าจะดำเนินการได้ในอีกประมาณ 30 ปี |
|||
|
|||
ตริเตียมไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่สามารถผลิตขึ้นมาได้จากธาตุลิเทียม ซึ่งสามารถติดตั้งอุปกรณ์ในการทำให้เกิดตริเตียมจากลิเทียม เมื่อต้องการทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างดิวทีเรียมกับตริเตียม เชื้อเพลิงที่ต้องป้อนเข้าไปจากภายนอก จึงเป็นดิวทีเรียมกับลิเทียม ลิเทียมเป็นโลหะที่เบาที่สุดและมีมากที่สุดบนเปลือกโลก ถ้าถ้ากระแสไฟฟ้าทั้งหมดในโลก ใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิวชัน ปริมาณสำรองของลิเทียมที่มีอยู่สามารถนำมาใช้ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 1 พันปี ความปลอดภัยในตัวเอง (Inherent safety) ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
กระบวนการนิวเคลียร์ฟิวชัน ทำให้โครงสร้างของโรงไฟฟ้ามีกัมมันตภาพรังสี จากการที่นิวตรอนพลังงานสูง ที่เกิดจากปฏิกิริยาฟิวชัน (fusion neutrons) ทำปฏิกิริยากับผิวหน้าของวัสดุในโรงไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสีจะสูงขึ้นและลดลงในเวลาอันสั้น ทำให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้สามารถควบคุมให้มีจำนวนของวัสดุที่มีกัมมันตรังสีปริมาณน้อยที่สุดได้ ในช่วงเวลา 50 ปีที่ใช้งาน นอกจากนั้น ปฏิกิริยาฟิวชันแตกต่างจากปฏิกิริยาฟิชชัน ตรงที่ไม่ทำให้เกิดกากกัมมันตรังสี เนื่องจากผลของฟิวชันทำให้เกิดฮีเลียม ซึ่งเป็นก๊าซเฉื่อยที่ไม่มีอันตราย |
|||
|