มีการนำวัสดุนิวเคลียร์เข้าไปประยุกต์ใช้ในหลายสาขา ซึ่งโดยปกติแล้วไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกันเลย โดยเฉพาะการใช้ไอโซโทปรังสี ทั้งที่เป็นสารรังสีที่มีในธรรมชาติและที่ผลิตขึ้นมา มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางอยู่ในเครื่องมือ เครื่องวัด และในการถ่ายภาพ มีการนำไปใช้ในหลายสาขาทั้งในอุตสาหกรรมน้ำมัน โบราณคดี เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และในผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน
ส่วนสำคัญที่เรานำมาใช้งานคือสารไอโซโทปรังสี ซึ่งให้รังสีออกมา โดยมีคุณสมบัติในการเคลื่อนที่ทะลุผ่านวัสดุได้ แม้ว่าเราจะไม่เห็นรังสี แต่ก็สามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือวัด ลักษณะเฉพาะของเทคนิคนี้ คือการวัดรังสีที่ทะลุผ่านวัตถุมาได้ |
||||||
|
||||||
การวัดปริมาณ (Gauging) การใช้ไอโซโทปรังสีในกระบวนการผลิตสามารถใช้ได้หลายวิธี เทคนิคอย่างหนึ่งคือการตรวจวัดปริมาณ เนื่องจากรังสีมีการสูญเสียพลังงานเมื่อเคลื่อนที่ผ่านวัสดุ หลักการนี้สามารถนำไปใช้วัดเพื่อแสดงปริมาณว่า มีอยู่หรือไม่ระหว่างต้นกำเนิดรังสีกับหัววัดรังสี เมื่อวัดรังสีที่ผ่านวัสดุ แล้วเปรียบเทียบกับค่าที่เคยวัดได้ซึ่งมีความหนาตามที่ต้องการ ถ้ารังสีที่วัดได้มีค่าสูงแสดงว่ามีความหนาน้อยเกินไป ถ้ารังสีที่วัดได้มีค่าต่ำแสดงว่ามีความหนามากเกินไป จุดเด่นของการวัดด้วยวิธีนี้คือ ไม่มีการสัมผัสกับวัสดุที่ทำการวัด ตัวอย่าง เช่น เครื่องผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติก ใช้ไอโซโทปรังสีในการวัดความหนา โดยให้แผ่นฟิล์มวิ่งผ่านระหว่างต้กำเนิดรังสีกับหัววัดรังสี สัญญาณที่วัดได้จะถูกส่งไปควบคุมความหนาของแผ่นฟิล์ม ทำให้การผลิตดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ความสูงของถ่านหินในตู้บรรทุก สามารถหาได้โดยการใช้ต้นกำเนิดรังสีพลังงานสูง วางไว้ด้านตรงข้ามกับหัววัดรังสี แล้วบีบลำรังสีให้โฟกัสเป็นลำแคบๆ ผ่านถ่านหินไปยังหัววัดรังสี ถ่านหินที่ใส่ลงไปในตู้บรรทุก จนถึงระดับจะไปขวางลำรังสี ทำให้สัญญาณที่หัววัดรังสีขาดหายไป งานในลักษณะที่เต็มไปด้วยฝุ่นนี้ ทำให้ไม่สามารถควบคุมด้วยลำแสงธรรมดา เมื่อลำรังสีตกกระทบวัตถุ รังสีส่วนหนึ่งจะส่องผ่านไป อีกส่วนหนึ่งจะสะท้อนกลับมาในทิศทางเดิม ปริมาณรังสีสะท้อนมีความสัมพันธ์กับปริมาณวัสดุ หลักการนี้สามารถนำมาใช้ในวัดความหนาของวัสดุที่ใช้เคลือบผิว |
||||||
การถ่ายภาพด้วยรังสี (Gamma-Radiography)
การประยุกต์ใช้ไอโซโทปรังสีในการควบคุมกระบวนการผลิตอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การถ่ายภาพด้วยรังสีแกมมา กระบวนการนี้ใช้ไอโซโทปที่ให้รังสีแกมมา เพื่อตรวจสอบจุดบกพร่องบนวัสดุ เช่น รอยร้าว รอยตำหนิ บนรอยเชื่อม จุดเด่นของการถ่ายภาพด้วยรังสีแกมมา เมื่อเปรียบเทียบกับเทคนิคอื่น คือ การที่รังสีแกมมาสามารถส่องทะลุผ่านวัตถุได้โดยไม่มีผลต่อตัวอย่าง ให้ผลการถ่ายภาพรวดเร็ว ราคาถูก สามารถทำได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดกระบวนการผลิต กระบวนการนี้คล้ายกับการถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซ์ของโรงพยาบาล หรือการฉายภาพกระเป๋าเดินทางของสนามบิน สิ่งที่แตกต่างกันคือ แทนที่จะใช้รังสีเอกซ์ การถ่ายภาพด้วยรังสีแกมมา ใช้ต้นกำเนิดรังสี ที่มีความสามารถในการทะลุทลวงเข้าไปในวัสดุได้ดีกว่า เช่น โคบอลต์-60 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดรังสีแกมมาขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนย้ายได้ ขณะที่การถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซ์ ต้องป้อนกระแสไฟฟ้าในขณะใช้งาน การใช้ไอโซโทปรังสี ให้ผลดีที่สุดในกรณีที่ต้องทำการตรวจสอบในพื้นที่และไม่มีกระแสไฟฟ้า ต้นกำเนิดรังสีแกมมาเป็นไอโซโทปรังสีที่มีขนาดเล็กบรรจุอยู่ในแคปซูลไททาเนียม ในการถ่ายภาพจะวางแคปซูลของต้นกำเนิดรังสีไว้ด้านหนึ่งของวัตถุ และวางฟิล์มบันทึกภาพไว้ด้านตรงข้าม รังสีแกมมาจะทะลุผ่านวัตถุไปทำให้เกิดภาพขึ้นบนฟิล์ม คล้ายกับการที่รังสีเอกซ์แสดงให้เห็นภาพกระดูก รังสีแกมมาจะแสดงจุดบกพร่องของโลหะหล่อ หรือรอยเชื่อม เทคนิคนี้จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญ ในการตรวจสอบรอยตำหนิ ที่อยู่ภายในโดยไม่ต้องทำลายตัวอย่าง เนื่องจากไอโซโทปรังสีสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก การถ่ายภาพด้วยรังสีแกมมาจึงมีประโยชน์ในการควบคุมระยะไกล ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบรอยเชื่อมของท่อที่ใช้ส่งกาซธรรมชาติหรือน้ำมัน เมื่อมีการเชื่อมแล้ว จะวางฟิล์มแบบพิเศษติดเทปไว้รอบท่อที่ด้านนอก อุปกรณ์ที่เรียกว่า “pipe crawler” จะเป็นตัวพาต้นกำเนิดรังสีพร้อมทั้งวัสดุกันรังสี เข้าไปในท่อไปยังตำแหน่งที่มีการเชื่อม เมื่อถึงจุดที่ต้องการ จะทำการถ่ายภาพรอยเชื่อม ด้วยรังสีจากต้นกำเนิดไปยังฟิล์มโดยการควบคุมระยะไกล เมื่อผ่านกระบนการล้างฟิล์มจะได้ภาพที่แสดงรายละเอียดภายในของรอยเชื่อม
|
||||||
|
||||||
การวิเคราะห์โดยการอาบนิวตรอน : Neutron Activation
การอาบนิวตรอนเป็นวิธีการวิเคราะห์เพื่อหาปริมาณธาตุในตัวอย่างประเภทต่างๆ หลายชนิด โดยมีความถูกต้องและเที่ยงตรงสูง เทคนิคนี้เป็นตัวอย่างที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย ใช้ประโยชน์ของไอโซโทปรังสี รวมทั้งนำมาใช้ช่วยในการสืบสวนอาชญากรรม วิธีการนี้ใช้หลักการตรวจวัดรังสีแกมมาจากไอโซโทปรังสี ที่มาจากตัวอย่างที่นำไปอาบนิวตรอน ซึ่งมีพลังงานที่เฉพาะในแต่ละธาตุ ตัวอย่างที่นำไปอาบนิวตรอน จะทำให้ธาตุที่อยู่ในตัวอย่างนั้นมีกัมมันตภาพรังสีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง การตรวจวัดรังสีที่แผ่ออกมา สามารถใช้วิเคราะห์ธาตุที่เป็นองค์ประกอบในตัวอย่างได้ โดยพลังงานของรังสีจะแสดงชนิดของธาตุ และความเข้มของรังสีจะแสดงปริมาณธาตุที่มีอยู่ในตัวอย่าง เนื่องจากแต่ละธาตุที่ทำปฏิกิริยากับนิวตรอน จะกลายเป็นไอโซโทปรังสีที่มีพลังงานเฉพาะของแต่ละไอโซโทป การอาบนิวตรอนสามารถวิเคราะห์ได้ครั้งละหลายธาตุพร้อมกัน โดยสามารถเลือกปรับพารามิเตอร์การวิเคราะห์ให้เหมาะสมที่สุดกับแต่ละธาตุ โดยที่การวิเคราะห์ชนิดของธาตุได้มากขึ้น ไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายหรือกระบวนการวิเคราะห์เพิ่มขึ้น ในการวิเคราะห์โดยการอาบนิวตรอนโดยทั่วไป สามารถหาปริมาณธาตุในตัวอย่างทางธรณีวิทยา เนื้อเยื่อของคน สัตว์หรือพืช ได้ประมาณ 40 ชนิด การอาบนิวตรอนสามารถวิเคราะห์ธาตุที่มีปริมาณน้อยมากๆ ได้ มีของความไวในการวิเคราะห์ (sensitivity) ดีกว่าวิธีการที่ไม่ใช้นิวเคลียร์เทคนิค โดยอยู่ในระดับของ parts per billion หรือดีกว่า กระบวนการวิเคราะห์ทำให้สามารถให้ผลที่รวดเร็วกว่าและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าวิธีการที่ไม่ใช้นิวเคลียร์เทคนิค นอกจากนั้น การอาบนิวตรอนยังใช้เป็นวิธีการอ้างอิง (referee method) ของวิธีการอื่นที่อาจมีการพัฒนากระบวนการขึ้นมาใหม่ หรือให้คำตอบที่ไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากเป็นวิธีการที่มีความถูกต้องและได้รับความเชื่อถือสูง
|
||||||
|
||||||
ใช้ในการติดตามตรวจสอบ (Tracers)การใช้ไอโซโทปรังสีเป็นสารติดตาม (tracer) ไม่ได้มีใช้แต่ในทางการแพทย์แต่มีใช้ในทางอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน สารรังสีติดตาม (radiotracer) ทีมีการให้รังสีแกมมาหรือรังสีบีตาออกมา สามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือวัดหลายชนิด ทั้งการวัดในพื้นที่ (in situ) และการเก็บตัวอย่างมาวัดในห้องปฏิบัติการ ด้วยการวิเคราะห์สารติดตามที่เหมาะสม จะทำให้สามารถทราบเส้นทาง (pathway) ที่สารติดตามเคลื่อนที่ไปได้
ตัวอย่างเช่น การใช้ไอโซโทปรังสีเป็นสารติดตามในการตรวจวัดมลภาวะในแม่น้ำ เมื่อทราบกัมมันตภาพรังสี การละลาย และคุณสมบัติของสารติดตาม รวมทั้งปริมาณและช่วงเวลาจะทำให้สามารถใช้หาเส้นทางของสารติตามได้ การใช้สารรังสีติดตามสามารถประยุกต์ใช้ทางด้านอื่นได้ดังนี้ :
|
||||||
|
||||||
การหาอายุโดยวัดคาร์บอนรังสีนักธรณีวิทยาและโบราณคดีหาอายุของตัวอย่างจากสิ่งมีชีวิต เช่น กระดูก ถ่าน หนัง โดยเทคนิค การหาอายุด้วยคาร์บอนรังสี (radiocarbon dating) ชื่อที่ใช้เรียกเทคนิคนี้ ได้มาจากเทคนิคการหาอายุที่ใช้ไอโซโทป คาร์บอน-14 (carbon-14) ซึ่งเป็นไอโซโทปรังสีตามธรรมชาติ และมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เนื่องจากคาร์บอนในธรรมชาติมีคาร์บอน-14 อยู่ด้วยในสัดส่วนที่คงที่ เมื่อสิ่งมีชีวิตในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้กินอาหาร ที่ปกติมีธาตุคาร์บอนอยู่ ทำให้มีคาร์บอน-14 สะสมอยู่ในร่างกาย เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง จะไม่มีคาร์บอนเข้าไปเพิ่มในร่างกายอีก ขณะที่ไอโซโทปรังสี คาร์บอน-14 มีการสลายตัวอย่างคงที่ตลอดเวลา ทำให้สามารถใช้ปริมาณคาร์บอน-14 ที่เหลือออยู่ ประมาณช่วงเวลาที่สิ่งมีชีวิตนั้นตายลงได้ ตัวอย่างการหาอายุโบราณวัตถุด้วยคาร์บอน-14 ได้แก่การหาอายุของ Dead Sea Scrolls ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2,000 ปี และการพิสูจน์ว่าผ้าตูริน (Shroud of Turin) ทำขึ้นในศตวรรษที่ 14
สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) มีการใช้ไอโซโทปรังสีในสินค้าอุปโภคบริโภคหลายชนิด ถึงแม้ว่าหลายชนิดอาจจะไม่พบแล้วในปัจจุบัน แต่การนำไอโซโทปรังสีมาใช้ ก็ยังมีความสำคัญในทางอุตสาหกรรมหลายประเภท ตัวอย่างเช่น
ความปลอดภัย (Safety) การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาประยุกต์ใช้ในทุกประเภท รวมทั้งทางด้านอุตสาหกรรม สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงอันดับแรก คือ ความปลอดภัย ซึ่งมีการนำมาใช้ในหลายแนวทาง ได้แก่
|
||||||
ถอดความจาก Industrial Use of Nuclear Technology เว็บไซต์ http://www.world-nuclear.org/info/info.htm February 2006 |