Aztecs เป็นชื่อของชนเผ่าอินเดียน ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปอเมริกากลาง ก่อนที่ Columbus จะพบทวีปอเมริกานับพันปี ชนเผ่านี้มีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองมาก มีเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ก้าวหน้าทันสมัย และมีเทพเจ้า Quetzalcoatl ที่ทำหน้าที่พิทักษ์คุ้มครองเผ่า ซึ่งเทพเจ้าองค์นี้ทรงความสามารถทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปกรรม วิศวกรรม สถาปัตยกรรม (และเวรกรรม) พระองค์ทรงมีผิวพระพักตร์ขาว มีพระทาฐิกะ (เครา) ดก ชาวเมืองทุกคนนับถือเทพองค์นี้มาก แต่ตำนานเล่าว่า เมื่อเทพ Quetzalcoatl ทรงได้รับความรักและการยกย่องมาก เทพองค์อื่น ๆ จึงอิจฉา จึงวางแผนทำให้เทพผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนอับอาย โดยการมอมเมาด้วยสุรา ซึ่งก็ได้ผล เพราะเทพ Quetzalcoatl ทรงเมาจนไร้สติ และเมื่อฟื้นพระองค์ทรงรู้สึกอับอายมาก จึงได้ตัดสินพระทัยทิ้งเมืองหลวง Teotihuacan แห่งอาณาจักร Aztecs โดยได้ออกเรือเดินทางไปในทะเลทางด้านตะวันตก และตั้งพระทัยว่าจะหวนกลับมาในปีที่ชาว Aztecs เรียกว่า Ce-Acatl
|
และเมื่อปีแห่งการรอคอยมาถึง ฝูงชนเผ่า Aztecs ที่คาดหวังจะเห็นเทพ Quetzacoatl ของเขาก็ได้เห็นพระศรีอาริย์จริง ๆ ในร่างกายของบุรุษผิวขาวที่สูงใหญ่และมีหนวด เขาคือ Hernando Cortez ผู้เป็นนายพลแห่งกองทัพล่าอาณานิคมของสเปน และนี่คือการเข้าใจผิดครั้งสำคัญของมนุษยชาติ เพราะท่านนายพลแทนที่จะนำความสุขสวัสดีมาสู่ชนเผ่า Aztecs ท่านได้นำทหารและดาบ มาสังหารชีวิตกษัตริย์ Montezuma แห่งอาณาจักร Aztecs จนอาณาจักรนี้ถูกทำลายราบคาบ |
ทุกวันนี้ เมือง Teotihuacan มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นอนุสาวรีย์ และอาคารสถานมากมาย เมืองๆ นี้ตั้งอยู่ห่างจาก Mexico City ประมาณ 40 กิโลเมตร มีพีระมิดขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ พีระมิดแห่งพระอาทิตย์กับพีระมิดแห่งพระจันทร์ พีระมิดแห่งประอาทิตย์นั้นมีด้านๆ หนึ่งยาวประมาณ 200 เมตร และมีโครงสร้าง 4 ชั้น ทำให้ตัวพีระมิดสูงประมาณ 65 เมตร ยอดพีระมิดที่มีลักษณะราบ มีขนาด 20×30 เมตร ในอดีตคงเคยเป็นที่ตั้งของอาคาร แต่บัดนี้ไม่มีอาคารหลงเหลืออยู่อีกแล้ว |
|
พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ อันเป้นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดมโหฬารที่สุดในเมือง Teotihuacan สถานศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ห่างจาก Mexico City 40 กิโลเมตร และมีอายุประมาณ 1,600 ปี |
|
ถึงแม้เมือง Teotihuacan จะมีประวัติย้อนหลังอันยาวนานถึง 2,800 ปี และเป็นเมืองที่มีขนาดมโหฬารที่สุดในทวีปอเมริกายุคนั้น แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเมืองๆ นี้ มีกษัตริย์ปกครองหรือไม่ หรือมีชื่อเดิมว่าอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ก็พบว่า หลังจากเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นมาได้ประมาณ 700 ปี ผู้คนก็ได้ทิ้งเมืองไปดังนั้น เมื่อชนเผ่า Aztecs เดินทางมาถึง และพบเมืองๆ นี้ ถึงจะเป็นเมืองร้างแต่ก็มีสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการมากมาย เขาจึงเรียกชื่อเมืองว่า Teotihuacan ซึ่งแปลว่า กรุงเทพ เพราะสวยปานสถานที่อยู่ของเทพเจ้า |
ในการศึกษาประวัติความเป็นมาของนครนี้ นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีมีความสนใจที่จะรู้ว่า ใครคือผู้สร้างนครนี้ และใครเป็นคนปกครองนครนี้เป็นคนแรก แต่เมื่อไม่มีใครพบหลักฐานใดๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือภาพแกะสลัก ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเมืองลึกลับนี้เลย นักวิชาการหลายคน จึงคิดว่าคำตอบไขปริศนาของเมืองอาจจะซุกซ่อนอยู่ใต้ดิน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีใครขุดพบอะไรใต้ปฐพีอีก คนหลายคนจึงคิดว่า ถ้าดินไม่โปรด ฟ้าคงต้องเมตตาเป็นแน่ |
ความคิดทำนองนี้ไม่แปลก เพราะเมื่อ 40 ปีก่อนนี้ Luis Alvarez นักฟิสิกส์ระดับรางวัลโนเบล ได้เคยใช้เทคโนโลยีรังสีคอสมิก (cosmic ray) วิเคราะห์หาห้องลึกลับในตัวพีระมิด Kephren ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุง Cairo ในประเทศอียิปต์มาแล้ว และก็ได้พบว่า มหาพีระมิด Kephren ไม่มีห้องลึกลับอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ภายในเลย |
A. Menchaca เป็นนักฟิสิกส์ผู้หนึ่ง ที่สนใจไขปริศนาลึกลับแห่งพีระมิดของอารยธรรม Aztecs เขาเคยศึกษาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Oxford ในประเทศอังกฤษ แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่า วิชาฟิสิกส์ของอนุภาคมูลฐานที่เขาเรียนนั้น วันหนึ่งจะช่วยให้เขาได้ทำงานด้านโบราณคดีในประเทศเม็กซิโก |
เขาเล่าว่า หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาแล้ว เขาได้มีโอกาสพบและสนทนากับ Alvarez ที่มหาวิทยาลัย California ที่ Berkeley คนทั้งสองได้คุยกันถึงเรื่องพีระมิด Kephren และความประทับใจที่ได้จากการสนทนาครั้งนั้น ได้ทำให้ Menchaca คิดใช้เทคโนโลยีรังสีคอสมิก ค้นคว้าหาห้องลึกลับในพีระมิดของเม็กซิโกบ้าง |
ตามปกติเวลารังสีคอสมิกจากอวกาศ พุ่งกระทบบรรยากาศของโลก การเป็นอนุภาคโปรตอนพลังงานสูง ทำให้ชนโมเลกุลของไนโตรเจนและออกซิเจนแตกกระจุยกระจาย และในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เกิดอนุภาคมูลฐานชนิดหนึ่ง ที่นักฟิสิกส์เรียกว่า อนุภาค muon ด้วย อนุภาค muon ที่เกิดนี้มีจำนวนมากเป็นล้าน ถึงแม้มันจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่การมีความเร็วสูงมาก ทำให้มันสามารถเดินทางจากขอบบรรยากาศเบื้องบนลงมาได้ 10 กิโลเมตรถึงพื้นดิน แต่ถ้ามันปะทะสสารหรือวัสดุใดๆ มันก็จะถูกสสารหรือวัสดุนั้นๆ ดูดกลืนไปบ้าง และนักฟิสิกส์ก็ได้พบว่า ปริมาณการดูดกลืนขึ้นกับความหนาแน่นของสสารที่มันพุ่งผ่าน เช่น ถ้าวัสดุที่มันพุ่งผ่านเป็นคอนกรีต มันก็จะถูกดูดกลืนมากกว่าเวลามันพุ่งผ่านอากาศ |
ดังนั้น ถ้านักฟิสิกส์เอาอุปกรณ์ตรวจจับอนุภาค muon นี้ วางใต้พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ (Pyramid of the sun) อุปกรณ์ก็จะสามารถบอกได้ว่าอนุภาค muon ที่มันรับได้นั้น ทะลุผ่านอะไรมาบ้าง และมาจากทิศทางใด เช่น ถ้านักวิทยาศาสตร์พบว่า สัญญาณที่ได้รับมาจากทิศ A มากกว่าทิศ B นั่นแสดงว่า ห้องลึกลับมีโอกาสอยู่ทางทิศ A มากกว่าทิศ B อนึ่ง ในการหาตำแหน่งของห้องลึกลับ นักวิทยาศาสตร์จำต้องตรวจหาตำแหน่งที่มันอยู่ใน 3 มิติ นั่นหมายความว่า เขาต้องวางอุปกรณ์หลายๆ ทิศทางและหลายๆ ที่ |
Menchaca อุปกรณ์ตรวจจับซึ่งมีลักษณะเป็นลูกบาศก์ และมีด้านยาวด้านละ 1 เมตร ในการจับอนุภาค muon ในการคาดคะเนของ Menchaca นั้นอุปกรณ์ของเขามีความไวมาก เพราะถ้าอนุภาค muon พุ่งผ่านพีระมิดตันอุปกรณ์เขาจะอ่านสัญญาณได้ประมาณ 100 ครั้ง/วินาที แต่ถ้าอนุภาค muon พุ่งผ่านห้องว่างอุปกรณ์จะอ่านได้มากกว่า 100 ครั้ง/วินาที |
ปัญหาที่ใครต่อใครพากันห่วงใยคือ Menchaca จะเอาอุปกรณ์เข้าไปฝังใต้พีระมิดได้อย่างไร เพราะถ้าจะขุดลงไป เขาก็จะทำลายพีระมิด แต่ก็นับว่าเขามีบุญ เพราะคนที่สร้างพีระมิดได้ทำทางเข้าใต้พีระมิดให้เขาเรียบร้อย ระยะทางลึกประมาณ 100 เมตร ใหญ่และลึกพอจะให้เขาวางอุปกรณ์ได้ |
ดังนั้น ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ Menchaca แห่ง Institute of Physics ของมหาวิทยาลัย Mexico จะทำการวิเคราะห์ค้นหาห้องฝังพระศพของกษัตริย์ Aztecs โดยเข้าคาดว่า เขาจะเปิดอุปกรณ์รับสัญญาณนาน 1 ปี และจะวิเคราะห์สัญญาณโดยการใช้คอมพิวเตอร์ เขาคิดว่าอุปกรณ์ของเขาสามารถบอกตำแหน่งของห้องลึกลับผิดพลาดไม่เกิน 0.5 เมตร |
การรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของห้องลับ (ถ้ามี) จะทำให้เรารู้ว่าในห้องนั้นมีสมบัติมหาศาล เช่น ทองคำและมรกตหรือไม่ หรืออาจจะมีเพียงโครงกระดูกและเอกสารเท่านั้น |
ความสมหวังหรือผิดหวังสำหรับเรื่องนี้ จะเป็นจริงในอีก 1 ปีครับ |